กิจกรรที่ 2
บทที่ 1
มโนทัศน์เกี่ยวกับการบริหารการศึกษา
ความเป็นมาและพัฒนาการบริหารคำว่า การบริหาร เริ่มมีความหมายชัดเจนตอนต้นพุทธศตวรรษที่ 25 โดยให้ความหมายไว้ว่า การบริหาร หมายถึง การจัดการหรือควบคุมกิจการต่างๆ ของรัฐ หรือ หมายถึง การปฏิบัติการต่างๆ ของหน่วยงาน ของรัฐ
ความสำคัญของการบริหาร
การบริหารเป็นสิ่งที่ช่วยให้มนุษย์ดำรงชีพร่วมกันได้อย่างมีความสุข และนอกจากนี้การบริหารเป็นเครื่องบ่งชี้ให้ทราบถึงความเจริญก้าวหน้าของสังคม
การบริหาร หมายถึง การที่มีคนตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป รวมกลุ่มกันทำงาน เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้
การบริหารการศึกษา หมายถึง กิจกรรมต่างๆ ที่บุคคลหลายคนร่วมกันดำเนินการเพื่อพัฒนาสมาชิกของสังคมให้ครบทุกๆ ด้าน
การบริหารเป็นวิชาชีพชั้นสูง
การที่จะดูว่าวิชาใดเป็นวิชาชีพชั้นสูงได้นั้นต้องมีเกณฑ์ดังต่อไปนี้ การบริการสังคม ระยะเวลาในการฝึกอบรม มีวิธีการใช้ความคิด มีจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพ มีสมาคมวิชาชีพแข็งแรง และมีความอิสระทางวิชาการ
การบริหารเป็นศาสตร์และเป็นศิลป์
การบริหารเป็นศาสตร์ เป็นวิชาสาขาหนึ่งที่มีการจัดระเบียบให้เป็นระบบของการศึกษา มีองค์แห่งความรู้ และสามารถนำมาศึกษาต่อได้
การบริหารเป็นศิลป์ เป็นการนำเอาหลักการทฤษฎีการบริหารมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน
ปรัชญาของการบริหารการศึกษา 13 ประการ ดังนี้
1.ผู้บริหารจะต้องใช้ความฉลาดไหวพริบแก้ปัญหาต่างๆ
2.ผู้บริหารต้องเปิดโอกาสให้บุคคลจำนวนมากเข้ามามีส่วนร่วมในการทำงาน
3.ผู้บิหารต้องเคารพความเป็นคนของแต่ละคน
4.ผู้บริหารต้องยึดเป้าหมายของการศึกษาเป็นหลัก
5.ผู้บริหารต้องถือว่าตนเองเป็นเพียงผู้ประสานประโยชน์
6.ผู้บริหารจะต้องเปิดโอกาสให้บุคคลทั้งหลายได้แสดงความคิดเห็น
7.ผู้บริหารต้องถือว่าตนเองเป็นผู้นำ
8.ผู้บริหารต้องถือว่าตนเองคือนักการศึกษา
9.ผู้บริหารจะต้องเสียสละทุกอย่าง
10.ผู้บริหารจะต้องประสานงาน
11.ผู้บริหารจะต้องประเมินงานของตนอยู่เสมอ
12.ผู้บริหารจะต้องเคารพในวิชาชีพของการบริหาร
13.ผู้บริหารจะต้องขวนขวายหาความรู้ใส่ตนอยู่เสมอ
บทที่ 2
วิวัฒนาการของการบริหารยุคต่างๆ และการประยุกต์ใช้ในการบริหารการศึกษา
วิวัฒนาการด้านรัฐกิจ
การบริหารรัฐกิจ
เป็นการศึกษาเกี่ยวกับการปกครอง
แบ่งออกเป็น 3 ระยะ ดังนี้ระยะที่ 1 การบริหารรัฐกิจ ควรแยกออกจากการเมือง ข้าราชการต้องยึดเอาความต้องการของประชาชนเป็นหลัก และส่งเสริมให้ประชาชนและข้าราชการรู้เรื่องการบริหาร
ระยะที่ 2 การศึกษาเรื่องการบริหาร หันมาเน้นพฤติกรรมองค์การ และเรื่องของมนุษย์สัมพันธ์ของคนมากขึ้น
ระยะที่ 3 การศึกษาหันมาผสมผสานแนวคิดในระยะ 1 และ 2 เข้าด้วยกัน
วิวัฒนาการด้านธุรกิจ
การพัฒนาหลักการบริหารได้รับความสนใจ จึงทำให้เกิดความต้องการ “ วิธีการบริหาร” ที่ทันสมัยยิ่งขึ้น ต้นศตวรรษที่ 19 จึงได้เกิดวิวัฒนาการทางการจัดการขนานใหญ่ ที่เรียกว่า การจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นผลของวิวัฒนาการสมัยใหม่ระยะแรก และนำไปสู่การจัดการที่ดี
การแบ่งยุคของนักทฤษฎีการบริหาร
ยุคที่ 1 นักทฤษฎีการบริหารสมัยเดิม
Towne ได้เสนอแนวคิดว่า ควรจะแยกการจัดการออกจากหน้าที่การงานทางวิศวกรรมและเน้นเรื่องความสำคัญของการจัดการว่ามีเท่ากับความสำคัญของงานวิศวกรรม
Taylor เปรียบคนงานเหมือนเครื่องจักรที่สามารถปรับปรุง เพื่อเพิ่มผลผลิตขององค์การได้
Henry L. Gantt มีแนวคิดการเลือกคนงานโดยหลักวิทยาศาสตร์และการร่วมมืออย่างกลมกลืน ระหว่างแรงงานและฝ่ายการจัดการ
ทฤษฎีการปฏิบัติการและการจัดการตามหลักบริหาร หมายถึง การจัดกิจกรรมที่ซับซ้อน ซึ่งมีความสัมพันธ์กับการวางแผนการผลิต การจัดสรรทรัพยากร และการจัดทรัพยากรบุคคล
การประยุกต์ใช้หลักการบริหารเชิงวิทยาศาสตร์ในการบริหารการศึกษา
1.กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ควรใช้ในการดำเนินจัดตั้งมาตรฐานที่ต้องการ
2.วิธีการผลิตควรตังอยู่บนพื้นฐานของวิทยาศาสตร์
3.คุณสมบัติของผู้ผลิตควรจะถูกกำหนดขึ้น
4.ผู้ผลิตควรได้รับการชี้แจง
5.บุคลากรทางการศึกษามีมาตรฐานต่ำ จึงควรได้รับการเตรียมมาเป็นอย่างดีก่อน
ยุคที่ 2 ทฤษฎีมนุษยสัมพันธ์
Follette ได้ให้ความคิดเห็นความสำคัญของคน เพื่อสร้างและรักษาความสัมพันธ์อันดี
การประยุกต์ใช้หลักมนุษยสัมพันธ์ในการบริหารการศึกษา
อาจารย์ใหญ่ควรจะสร้างความสัมพันธ์อันดีกับครูเป็นรายบุคคล เป็นกลุ่ม และสามารถสร้างภาวะผู้นำแบบประชาธิปไตยได้มากกว่า ครูและเจ้าหน้าที่ทุกคนควรจะมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ
ยุคที่ 3 ยุคการใช้ทฤษฎีทางการบริหาร
ยุคนี้จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการจัดองค์การที่เป็นทางการ ยึดตามแนวมนุษยสัมพันธ์ให้ความสำคัญกับตัวบุคคล
การประยุกต์ใช้พฤติกรรมศาสตร์ในการบริหารการศึกษา
การบริหารประกอบด้วยความรู้เฉพาะ ทักษะ ความเข้าใจ และการดำเนินการทั้งหลาย ที่ตั้งอยู่บนทัศนะความจริงขององค์การที่ดำเนินอยู่ในปัจจุบัน
ทฤษฎีองค์การเชิงระบบ
มีวัตถุประสงค์ของโรงเรียน หลักสูตร กระบวนการเรียน การสอน กิจกรรมต่างๆ การวัดและประเมินผล นักเรียนมีความสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้
การประยุกต์เชิงระบบในการบริหารการศึกษา
การรู้จักใช้แนวความคิดของวิธีการเชิงระบบมาใช้ในการบริหารการศึกษา เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในทุกๆ ด้าน ซึงสิ่งเหล่านี้ทำให้การบริหารการศึกษาบรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้
บทที่ 3
งานบริหารการศึกษา
งานของผู้บริหารการศึกษา คือ
งานที่คนมองว่าเป็นงานที่ผู้บริหารกำลังทำอยู่ งานที่คนนอกคิดว่าผู้บริหารควรทำ และงานที่ตัวผู้บริหารคิดว่าเป็นความรับผิดชอบ
ภารกิจของการบริหารการศึกษาจำแนกตามลักษณะและขอบข่ายของงานบริหารการศึกษา จำแนกตามบทบาทและพฤติกรรมการบริหาร และจำแนกตามเกณฑ์สมรรถภาพของผู้บริหาร
ลักษณะทางสังคมจิตวิทยา
ควรมีความกระปรี๊กระเป่า เพราะทั้งผู้บริหารและครูอาจเกิดความเครียด และควรมีแรงจูงใจ การที่คนเราจะทำงานได้ดีและมีความสุขก็เพราะมีแรงจูงใจ การรับรู้ ผู้บริหารจะต้องรู้จุดแข็งและจุดอ่อน รู้ขอบเขต และความสามารถของตนเอง
การบริหารงานอย่างมีประสิทธิภาพของนักบริหาร
การที่จะบริหารงานให้มีประสิทธิภาพนั้น ผู้บริหารจะต้องรู้จักวางแผนนโยบาย รู้จักแบ่งงาน รู้จักวางแผนงานให้เป็นระบบ รู้จักการจัดองค์การ รู้จักใช้คนให้เป็น รู้จักใช้ทักษะ มีการประสานงานที่ดี และรู้จักการประเมินผลงานอยู่เสมอ
ทักษะที่ใช้เพื่อการบริหารงานอย่างมีประสิทธิภาพ
ต้องรู้จักประเมินผลวัตถุประสงค์อยู่เสมอ ความต้องการคาบคู่กับความสัมพันธ์ของใคร การรู้จักผูกน้ำใจคน จัดคนให้ถูกกับงาน ต้องรู้จักการยกย่องผู้อื่น มีความเฉียบขาด และมั่นคง
บทที่ 4
กระบวนการทางการบริหารการศึกษา
การบริหาร
หมายถึง กิจกรรมต่างๆ
ที่บุคคลหลายคนร่วมมือกันดำเนินการเพื่อพัฒนาเด็ก เยาวชน
ประชาชน ทั้งในด้านร่างกาย อารมณ์
สังคม และสติปัญญา
ปรัชญาบริหารการศึกษาที่นำไปเป็นหลักในการจัดการศึกษาในโรงเรียนมี
2 เรื่อง คือ การจัดระบบสังคม และเป้าหมายวัตถุประสงค์ของการศึกษาความคิดรวบยอดในการบริหารการศึกษา ผู้บริหารจะต้องแสวงหาความรู้อยู่เสมอ มองปัญหาเป็น รับฟังความคิดเห็นทุกฝ่ายด้วยเหตุผลและความเป็นธรรม และต้องพัฒนาตนเองให้ทันสมัย อยู่เสมอ
กระบวนการบริหารการศึกษา เป็นปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่ง เพราะการจัดการธุรกิจการศึกษามีปัจจัยต่างๆ จำนวนมากที่มาเกี่ยวข้อง เช่น ครู นักเรียน คนงาน ภารโรง และรวมทั้งเงินงบประมาณ เงินบำรุงการศึกษา
การวางแผน หมายถึง การเตรียมการ หรือคาดการณ์ไว้ล่วงหน้า ทำให้ผู้บริหารมีความพร้อมที่จะปฏิบัติงาน หรือกระทำอะไรบางอย่างในอนาคต
ทรัพยากรบริหารการศึกษา ผู้บริหารจะต้องใช้หลักปัจจัย 4’ Ms ได้แก่ Man , Money , Material และ Management
องค์การและการจัดองค์การ
เราสามารถจำแนกองค์การที่อยู่รอบตัวเราออกเป็น 3
ลักษณะ คือ
องค์การทางสังคม
องค์การทางราชการ องค์การเอกชน ความหมายขององค์การ มีดังนี้
Chester I. Barnard องค์การคือ การที่คนตั้งแต่สองคนขึ้นไปร่วมกันทำงาน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้
Herbert G. Hicks องค์การคือ กระบวนการจัดโครงสร้างให้บุคลคลเกิดปฏิสัมพัทธ์ในการทำงานร่วมกัน
Daniel Katz Robert Kahn องค์การคือ ระบบเปิดที่มีการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
แนวคิดในการจัดองค์การ มีพื้นฐานมาจากการดำเนินงานขององค์การที่ภารกิจมาก ยากที่บุคคลเพียงคนเดียวจะทำเองได้โดยเพียงลำพัง จะต้องคำนึงถึง “ ผู้ปฏิบัติงาน” เป็นสำคัญ และจะต้องกล่าวถึงการบริหารควบคู่กันไป
ความสำคัญของการจัดองค์การ องค์การเป็นที่รวมของคนเป็นที่รวมของงานต่างๆ เพื่อให้พนักงานขององค์การปฏิบัติงานได้อย่างเต็มความสามารถ จึงจำเป็นต้องการจัดแบ่งหน้าที่ในการทำงาน
หลักในการจัดองค์การ ประกอบด้วย หลักวัตถุประสงค์ ความรู้ความสามารถเฉพาะอย่าง การประสานงาน การบังคับบัญชา ความรับผิดชอบ ความสมดุล ความต่อเนื่อง การโต้ตอบ ขอบเขตของการควบคุม เอกภาพในการบังคับบัญชา ตามลำดับขั้นตอน และการเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่ง
ประเภทขององค์การรูปนัย แบ่งเป็น 4 ประเภท ได้แก่ สมาคมเพื่อประโยชน์ของสมาชิก องค์การทางธุรกิจ องค์การเพื่อบริหาร และองค์การเพื่อสาธารณชน
ทฤษฎีองค์การ คือ ความรู้ที่ได้มาจากทฤษฎีขององค์การอันเนื่องมาจากสังคมวิทยา รัฐศาสตร์ โดยเน้นความสำคัญของมนุษย์ในองค์การเป็นสำคัญ และคำนึงถึงประโยชน์ขององค์การทั้งคนที่อยู่ภายในและภายนอกองค์การ
ระบบราชการ หมายถึง ระบบการบิหารงานที่มีลักษณะการรวมอำนาจไว้ที่ศูนย์กลาง มีความอิสระในการทำงาน
การติดต่อสื่อสาร
การสื่อสาร หมายถึง กระบวนการแลกเปลี่ยนความคิด ข้อมูลข่าวสาร
หรือติดต่อที่เกี่ยวข้องกับการส่งข่าวสาร
ข้อมูล ความรู้สึกแนวความคิด
และความรู้สึก
ความสำคัญของของการติดต่อสื่อสาร เพื่อแลกเปลี่ยนความคิด
และเสริมสร้างความเข้าใจระหว่างกันโดยอาศัยการพูด
เพราะคำพูดเพียงคำเดียวอาจมีความหมายได้หลายอย่าง ซึ่งอาจจะนำความเสียหายมาสู่งานได้วัตถุประสงค์ของการติดต่อสื่อสาร เพื่อช่วยสร้างทัศนคติที่จำเป็นสำหรับการกระตุ้นให้เกิดแรงจูงใจ เพื่อให้ข่าวสารข้อเท็จจริงและเพื่อสร้างความเข้าใจอันดีระหว่างผู้ปฏิบัติงานด้วยกัน
ภาวะภูนำ
ภาวะผู้นำ หมายถึง
การที่บุคคลใดบุคคลหนึ่งสามารถโน้มน้าวจิตใจให้ผู้อื่นมีความร่วมมือในการทำงาน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามที่กำหนดไว้อย่างมีประสิทธิภาพ
และจะต้องมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อผู้ปฏิบัติงานหรือผู้ใต้บังคับบัญชา
หน้าที่ของผู้นำ
1.มีความรับผิดชอบต่อองค์การ2.มีความรับผิดชอบต่อผู้ใต้บังคับบัญชา
3.มีความรับผิดชอบต่อหน่วยงานอื่น
4.มีความรับผิดชอบที่มีต่อตนเอง
ลักษณะประจำตัวของผู้นำ ประกอบด้วย มีคุณลักษณะพิเศษเฉพาะตัว มีความรู้ความสามารถ มีความตั้งใจสูง มีความรับผิดชอบ มีความเป็นธรรม มีใจกว้าง มีฐานะทางสังคม และมีศิลปะในการนำ
การประสานงาน
การประสานงาน หมายถึง
การจัดระเบียบวิธีการทำงาน
และเป็นการร่วมมือร่วมใจในการปฏิบัติเพื่อจัดระเบียบงานให้สอดคล้องกลมกลืนกัน เพื่อให้บรรลุตามเป้าหมายที่กำหนดไว้
ความมุ่งหมายในการประสานงาน เพื่อช่วยให้ผลงานเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้ เพื่อขจัดความซ้ำซ้อนของการทำงาน และเพื่อลดปัญหาความขัดแย้งกัน
บทที่ 9
การตัดสินใจสั่งการหรือการวินิจฉัยสั่งการ
การตัดสินใจ หมายถึง
การชั่งใจไตรตรองหาเหตุผล
และตัดสินใจเลือกทางปฏิบัติที่เห็นว่าดีที่สุด
การวินิจฉัยสั่งการ หมายถึง
การสั่งงาน การตกลงใจที่จะพิจารณาตกลงใจที่จะยุติข้อขัดแย้ง ข้อโต้เถียง
โดยมีการตรวจสอบอย่างรอบคอบองค์ประกอบต่างๆทีนำมาใช่ในการตัดสินใจหรือวินิจฉัยสั่งการ ได้แก่ ข่าวสาร การเสี่ยง นโยบาย ปัญหาต่างๆ และเวลา
ประโยชน์ของการตัดสินใจ คือ สามารถทำให้งานสำเร็จตามวัตถุประสงค์ ก่อให้เกิดการประสานงานที่ดี ช่วยประหยดทรัพยากร ทำให้การประสานงานเกิดประสิทธิภาพ เกิดความเรียบร้อย และทำให้ผู้ร่วมงานได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาตนและพัฒนางาน
บทที่ 10
ภารกิจของผู้บริหารโรงเรียน
ผู้บริหารโรงเรียน
จะต้องเป็นบุคคลที่ได้รับการแต่งตั้ง
หรือมอบหมายให้มีอำนาจหน้าที่ในการจัดการศึกษา หรืออำนวยการต่างๆ
เพื่อให้โรงเรียนสามารถจัดการบริหารทางการศึกษาแก่สังคมได้อย่างดี
ลักษณะและความสำคัญของงานวิชาการ คือ
งานที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนการสอนในโรงเรียน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น